
จากวันนั้น ....ถึงวันนี้ของ
"ป๊อบ-อารียา ศิริโสดา"
จากอดีต นางสาวไทย มาจนถึงวันนี้
ที่หลายคนรู้จักตัวตนผ่านผลงานของเธอ
ในฐานะ "ผู้สังเกตและผู้เสพความงาม"
ความสุขในวันนี้ของ "ป๊อบ อารียา"
" ตอนนี้เราตื่นมาทุกวันด้วยความรู้สึกดี รู้สึกว่าตัวเองโชคดี มีบ้านเป็นของตัวเอง ส่งเงินให้คุณพ่อคุณแม่ได้ ได้ทำงานที่ชอบและได้เสพความงามหลายอย่างในโลก มีอิสระ ไม่มีหนึ้สิน เราเองมีโรคประจำตัวเยอะ ก็ต้องดูแลสุขภาพอยู่เสมอ ทั้งภูมแพ้และือื่นๆ อีกหลายอาการ จนพบว่าการเล่นโยคะเป็นวิธีการบำบัดอาการเหล่านี้ได้ดีที่สุด ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เราว่าตอนนี้แข็งแรงกว่าตอนอายุ 20 กว่าเสียอีก และยังแฮปปี้มากกับชีวิตช่วงนี้ ทุกอย่างลงตัวขึ้น มองเวลามีค่ามากขึ้น"
" การมีอิสระสูง ต้องมีวินัยและพลังในการทำงานด้วย เราทำงานมา 5 ปี ไม่ใช่บริษัทใหญ่ เป็นผู้สังเกต เป็นผู้เสพความงาม พยายามเข้าใจตัวเองว่า ชอบเสพความงามของมนุษย์มีหลายรูปแบบ ถ้ามองงานที่ทำจะเห็นว่าเราสะท้อนความงามของมนุษย์ ความดี ความรัก ความเมตตา ความอบอุ่น ความเอื้ออาทร และความงามที่มีอยู่ในเนื้อแท้ของทุกสิ่ง"
การค้นหาตัวตนจริงๆ ของเธอ
" เราคิดว่าเราเป็นเหมือนน้ำ มีรูปร่างอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับภาชนะที่บรรจุ แต่แก่นของมันคืออะไร คือความใสที่มีนยังมีอยู่ต่างหาก บางครั้งเรากังวัลหรือกลัว น้ำก็จะขุ่น พอเราออกต่างจังหวัด ได้เจอคนที่มีจิตใจงดงาม
ทำให้เราสบายใจ น้ำในใจก็จะใส เราเองถ้ามีโอกาสก็จะไปนั่งวิปัสสนา เมื่อกลับมาก็จะรู้สึกว่าน้ำที่อยู่ข้างในใสขึ้น ก็จะสอนตัวเองให้รักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจตลอดเวลา ต้องมีความเงียบและความสงบ เพื่อให้เกิดปัญญา เราอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี"" เป็นคนชอบสังเกตคน เคยเป็นนักเขียนมาก่อน ตอนเเรกมาเมืองไทยเพื่อเที่ยว ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นนางงาม ตอนไปร่วมกิจกรรมพาเด็กๆ ชาวดอยไปเที่ยวบางแสน ได้เห็นรอยยิ้ม แววตาที่แสนบริสุทธิ์ มองเห็นความสุขตรงนั้น ก็อยากระบายให้คนอื่นเห็น อยากทำเป็นหนัง สุดท้ายก็ออกมาเป็นผลงานแบบ Documentary เรื่องแรก คือ เด็กโต๋ ไปฉาย 2 วัน ให้คนมาดูฟรีและขอรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือเด็กที่บ้านแม่โต๋ ได้เงินบริจาคเฉลี่ยวันละ 50,000 บาท เก็บเงินได้เฉพาะเงินบริจาคอย่างเดียวล้านกว่าบาท เลยทำเป็นกองทุนส่งนักเรียนที่บ้านแม่โต๋ ทำขึ้นมาด้วยใจจนกลายเป็นผูกพัน ไม่ใช่การตลาดหรือสร้างภาพพจน์นางงามที่ต้องรักเด็ก (ฮา)
"เด็กที่ ไม่เคยลำบากก็จะไม่รู้จักความแข็งแกร่ง รู้สึกขอบคุณที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เลี้ยงเรามาอย่างตามใจมากเกินไป มันทำให้เราไม่กลัวความลำบาก ไม่กลัวความจน ภาพในช่วงที่เป็นนางสาวไทย คนทั่วประเทศมักคิดว่าเราเป็นคนเรียบร้อย มีกึ๋น แต่จริงๆ เป็นคนซนนะ คือคนไทยอาจมองว่านางสาวไทยทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ"
วงการประกวดและวงการบันเทิงเป็นอย่างที่คนอื่นเห็นหรือไม่
" การอยู่ในวงการทำให้เรามีภูมิต้านทานมากขึ้น รู้ว่าต้องพูด ต้องวางตัวอย่างไร ระวังตัวเองมากขึ้น แต่ไม่เก็บเอาอะไรมาคิด ถ้าเริ่มคิดไปในทางไม่ดี ก็ต้องเตือนตัวเอง พยายามนั่งสมาธิ เล่นโยคะ ให้เวลากับครอบครัว แบ่งเวลาให้เป็น พักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้เต็มที่ กันให้เต็มที่ แต่ต้องเป็นอย่างพอเพียงนะ"
"การประกวดให้อะไรเราเยอะ ทั้งชื่อเสียง การเงิน ความมั่นคง คนรู้จักเรามากขึ้น ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องความตายมากขึ้น หลังจากคุณย่าเสียทำให้เรารู้สึกว่าการตายนี่ใกล้ตัวมาก เรื่องภาพพจน์หรือชื่อเสียงเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมาก และจริงๆ ในชีวิตคนอาจต้องทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ต่อไปอาจต้องเป็นแม่หรืออะไรที่น่าภูมิใจกว่านี้"
"ทำอะไรถ้าทำจากใจมันจะออกมาดีหมดแหละ คนสมัยนี้น้อยมากที่จะทำอะไรด้วยใจจริงๆ ส่วนใหญ่จะทำตามหน้าที่"
ข้อคิดสั้นๆ ง่ายๆ แต่คมคายที่เธอฝากไว้ให้พวกเรากลับไปลองคิดกันดู ว่าทุกวันนี้เราได้มีโอกาสทำ "สิ่งที่ออกมาจากใจ" บ้างหรือยัง

Time machine ของคุณป๊อบ
กับเรื่องราวของไม้ตีเทนนิส
ฝันว่าอยากซื้อไม้เทนนิสที่ทำจากไม้ จำได้รา 99 เหรียญ ไปหาเงินพิเศษที่ร้านอาหาร และต่อรองกับคุณแม่ว่าถ้าได้เกรด A ขอเงินเพิ่มจากเดิมตัวละ 5 เหรียญเป็น 10 เหรียญได้ไหม และเก็บเงินสะสมค่าอาหารที่ได้ 5 เหรียญต่อสัปดาห์ แล้วห่อข้าวจากบ้านไปกิน ตอนนั้นก็เอาบะหมี่สำเร็จรูปไปขายเพื่อน ห่อละ 5 บาท เราขาย ห่อละ 20 บาท คิดหาวิธีเยอะมาก วันเกิดก็ไม่เอาของขวัญ ขอเป็นเงินจากพวกญาติๆ แทน พอได้มาก็รักไม้อันนี้มาก ครั้งหนึ่งล้ม ยังยกไม้สูงเพราะกลัวไม้โดนพื้นเป็นรอย คางเลยไปกระแทกกับพื้นแทน การไม่ได้ของอะไรมาง่ายๆ ทำให้เราเห็นคุณค่าของที่ได้มา"
0 ความคิดเห็น: