Healthy "Great" Guy
จากพระเอกโฆษณา
ขึ้นแท่นเป็นพระเอกหน้าใหม่
กับหุ่นลำ่และผิวเข้มท้าแดด
...เกรท - วรินทร ปัญหกาญจน์


จากนักออกแบบมาเป็นนักแสดง

ผมเรียนทางด้าน Interior มา แต่ตอนนี้ขอทุ่มกับงานละครให้เต็มที่ก่อน แต่ก็ยังไม่ทิ้งการออกแบบนะครับ ยังพยายามฝึกฝีมืออยู่ เพราะผมเองชอบดูการตกแต่งห้องสวยๆ แบบต่างๆ

ตอนที่รู้ว่ามีแฟนคลับสร้างเว็บไซต์ให้ ก็ดีใจมากๆ เพราะทุกวันนี้ผมไม่ได้คาดหวังกับความดัง แค่ทำงานอย่างมีความสุขและทำให้ผู้ชมมีความสุขก็พอ เลยอยากขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงาน ทุกความคิดเห็น ทุกกำลังใจ ผมขอขอบคุณจริงๆ รู้สึกดีที่มีคนชอบ แฟนคลับถือเป็นกำลังใจที่ดีีอันดับหนึ่งของผมเลยนะ (ยิ้ม) พอมีงานออกมามีคนชอบ มีคนชื่นชมผลงานผมก็ดีใจ

ดูแลสุขภาพกายอย่างพอเพียง

เวลาว่างๆ ผมจะกระโดดเฃือกอยู่ที่ห้อง ประมาณวันละ 500 ครั้ง แบ่งเป็นช่วงๆ อาจจะครั้งละ 50 พยายามให้ครบ 500 ครั้งต่อวัน บางครั้งก็ยกเวท วันไหนว่างจริงๆ ก็เข้าฟิตเนส อย่างมาก 3 - 4 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้รู้สึกเฟิร์ม

การกระโดดเชือกดีตรงที่ ไม่ต้องใช้สถานที่ หรือเครื่องมือที่ยุ่งยาก ไม่ต้องลงทุนเยอะ แต่ก่อนผมเล่นฟุตบอล แต่พอเริ่มเข้าวงการมันหาโอกาสและสถานที่เล่นยาก หาเวลาตรงกันกับเพื่อนค่อนข้างยาก ตอนนี้เลยเล่นแค่ประมาณ 1 - 2 ครั้งต่อสัปดาห์ จากแต่ก่อนที่เคยเล่นเกือบทุกวัน

การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ อย่างน้อยขอให้เริ่มจากอะไรใกล้ๆ ตัว เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์ และต้องมีระเบียบวินัยด้วย อย่างเรื่องกิน ถ้าอยากกินของทอดๆ มันๆ ก็อาจกินบ้าน แต่ถ้ากินทุกมือก็ไม่ไหวเหมือนกัน (ฮา)

รักษาสุขภาพใจในแง่บว

ผมเป็นคนง่ายๆ ไม่ค่อยซีเรียส มองโลกในแง่ดีมากๆ เข้าใจว่าเข้าวงการแล้ว ก็ต้องมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ผมกดดันเรื่องคนดูมากกว่า แต่คิดว่าถ้าเราทำงานเต็มที่แล้ว คนดูจะรับรู้และตัดสินเอง

ส่วนอีกด้านผมใช้ธรรมะดูแลจิใจ แต่ก่อนเฉยๆ กับเรื่องนี้ แต่พอได้อ่านหนังสือ เจอคำพูดที่ว่า "ถ้าคนเราอ่านหนังสือธรรมะได้อย่างน้อยปีละเ่ล่มก็จะดี" พอเข้าวงการเริ่มรู้สึกว่าธรรมะเกี่ยวข้องพอสมควร เพราะงานละครต้องใช้สมาธิมาก จึงเริ่มฝึกตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ เริ่มฝึกนั่งสมาธิ ผย่างน้อยก่อนนอนคืนละ 1 - 2 นาทีก็ยังดี เพราะถ้ามัวคิดแต่ไม่ลงมือทำ ก็ไม่ช่วยอะไร

ดูแลตัวองด้วยวิธิง่ายๆ และทั้งหมดนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์หากใครจะนำไปปฏิบัติตาม เผื่อจะได้เป็นอีกคนหนึ่งที่ดูดีทั้งข้างในและข้างนอกไปพร้อมกัน


Time Machine ของเกรท - วรินทร ปัญหกาญจน์


ไปเจอหนังสือเรื่อง "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" เล่มนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมสนใจเรื่องธรรมะ และชอบอ่านหนังสือมากขึ้น ส่วนหนังสือเล่มที่ทำให้เริ่มชอบการอ่าน คือ เรื่อง "แฮร์รี่่ พอตเตอร์" เป็นหนังสือที่ทำให้รู้สึกว่าการอ่านหนังสือไม่น่าเบื่อ ได้รู้เรื่องราวใหม่ๆ สนุกสนาน และมีสมาธิกับการอ่านมากขึ้น"

มาละเหวย มาละวา...




วันนี้ able บุกบ้าน "สินเจริญ" เพื่อพูดคุยกับแขกรับเชิญที่มีจำนวนมากที่สุด (เท่าที่เคยสัมภาษณ์) อันได้แก่ คุณบอม-สุทธิศักดิ์ คุณเบิ้ล ธีรยุทธ และคุณบอย-ธนัญชัย 3 พี่น้องศิลปินอารมณ์ดี...


นิยามของ "ครอบครัวสินเจริญ"


K.Bom เรารู้สึกอยู่เสมอว่าเราเป็น "ชนเผ่าชาวบ้าน" นะ (ฮา) ทุกคนให้เกีียรติเรา ตั้งชื่อให้เยอะ แยะ ได้ยินแล้วก็รู้สึกดี แต่จริงๆ เราก็เหมือนกับทุกครอบครัว มีขัดแย้งกันบ้าง พูดไม่เพราะใส่กันบ้าง แต่เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น เราต้องคลี่คลายและปรองดองกันได้อย่างรวดเร็ว ส่วนสิ่งที่เรานำเสนอออกไปไม่ใช่การแสดง ไม่ว่าจะเป็นรายการวิทยุ หรือรายการทีวีก็แล้วแต่ สิ่งที่ทุกคนเห็นนั้น เราใช้สัญชาตญาณ ใช้เนื้อแท้ ตัวตน ธรรมชาติความเป็นเราทำให้เกิดขึ้น

Definition of "Family"


K.Bom แต่ก่อนครอบครัวไทยต้องกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน เป็นเอกลักษณ์ของครอบครัวไทยนะ มีเวลาไปมาหาสู่กัน ทำให้คิดถึงคนรอบข้าง เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน แต่เดี๋ยวนี้หายไปนะ ยิ่งในสังคมเมืองนี่แทบจะไม่มีเลย

K.Boy เราสามคนพี่น้องไม่เคยทะเลาะกันรุนแรง ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกัน พอต้องขึ้นเวทีร่วมกัน ก็เฮฮากันไป แล้วค่อยมาคุยกันในเรื่องที่ทะเลาะ ด้วยอารมณ์ที่เย็นลง คุยกันด้วยเหตุผลมากขึ้น รับฟังกันมากขึ้นโดยไม่ฉุนเฉียว (ยิ้ม)



Real Model คือใคร

K.ฺBle เ้ราได้แบบอย่างมาจากคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อเป็นคนสนุกสนาน มีเพื่อนฝูงเยอะ เราโตมากินข้าวฝีมือคุณแม่ โตมาแบบครอครัวไทยที่พ่อแม่ลูกมากินข้าวพร้อมหน้ากัน มีญาติ เพื่อฝูงมาเยี่ยมเยียนพบปะอยู่เสมอ ล้อมรอบไปด้วยความรักความอบอุ่น

K.Bom พ่อแม่เป็นเหมือนกรอบรูป เรา 3 คนเป็นภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ภาย ในกรอบแบบไม่มีหลุด ซึ่งกรอบนั่นก็คือ ความห่วงใย ความหวังดีที่พ่อเเม่สั่งสอนมาโดยตลอด พวกเราอุปมาพ่อแม่ว่าเป็นกรอบแบบหลุยส์ที่แข็งแรงและสวยหรู ไม่ว่ารูปข้างในจะเป็นอย่างไร แต่เมื่ออยู่ในกรอบที่ดีก็ดูดีได้ เหมือนที่พ่อแม่เป็นคนอบรมสั่งสอนเรา


อยากทำจังเล้ย - ไม่น่าทำเล้ย

K.Boy ตอน นี้ที่อยากทำมาก คือ รายการในช่องฟรีทีวี แต่ไม่รู้เพราะเหตุผลอะไรถึงยังไม่ได้ทำสักที ส่วนสิ่งที่ไม่น่าทำเลย คงจะเป็นเรื่องของการเรียน เดี๋ยวนี้ก็มักจะมาคิดย้อนหลังถึงตอนเด็กๆ ที่แม่ต้องลำบากไปส่งขึ้นรถเมล์ต้นสายแต่เช้าทุกวัน เพื่อจะให้ได้ที่นั่ง แต่เราก็ไม่รักเรียน เพื่อเรียน เราก็ไปเตะบอล ไปนั่งเล่น ยิ่งตอนที่ได้ทำเพลง ได้ออกอัลบั้มแล้ว ยิ่งแทบจะทิ้งการเรียนไปเลย ก็เป็นเรื่องที่เสียใจมาจนทุกวันนี้

K.Bom เรื่องที่ไม่น่าทำเลย คือ การอารมณ์เสียใส่คนที่อาจจะไม่ได้ตั้งใจทำให้เราโกรธ พอมาคิดได้ตอนหลังก็เสียใจนะ ละอายแก่ใจ อย่างเช่น อาจจะมีคนต้องรีบวิ่งไปทำธุระอะไรซักอย่าง แต่มากระแทกถูกเรา เป็นต้น ส่วนเรื่องที่อยากทำ ก็คงอยากกลับไปขอโทษคนเหล่านั้นนะ

K.Ble เรื่องที่ไม่น่าทำ คือ มีครั้งหนึ่งไปเที่ยวแล้วเมามาก ขับรถชนแล้วโดนรุมทำร้ายด้วย ตอนนั้นคนทั้งบ้านเดือดร้อนมาก ถือเป็นครั้งที่แย่ที่สุด จึงตั้งใจไว้ว่า จะไม่ให้เกิดเรื่องเดือดร้อนกับพ่อแม่พี่น้องอีก ส่วนเรื่องที่อยากทำตอน
นี้ มีอยู่ 2 เรื่อง คือ อยากบวช ก็ตั้งใจว่าถ้าบวชจะไปบวชในวัดป่าเป็นเวลานานๆ กับอีกเรื่องคือ อยากมีลููก แรงบันดาลใจนี้มาจาก คุณเตย-วินรัตน์ สกาวรัตนานนท์ ที่เป็นเพื่อนสนิท พวกเราเห็นเขาเลี้ยงลูกแล้วมีความสุขมาก ก็เลยอยากมีบ้าง


ธรรมมะประจำใจ "ครอบครัวบันเทิง"

K.Bom การเจริญสติสำคัญนะ ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากหัวใจเรา การเจริญสติ ก็คือการรู้ตัวเมื่อเราโกรธ อารมณ์เสีย เครียด สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำง่ายๆ ต้องเกิดจากการฝึกให้ค่อยๆ ลดความรุนแรง เราทั้ง 3 คนฝึกในการควบคุมสติมาเรื่อยๆ จนตอนนี้เราฝึกกันมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว

K.Boy เ้ราต้องเจอคนเยอะมาก อาจจะมีอะัไรที่กระทบกระทั่งหรือเกิดปัญหา สิ่งเดียวที่จะช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายได้ ก็คือ สติของเราเอง ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน แล้วเราก็ได้รู้ว่า ในความฮาของทั้งสามหนุ่ม มีความอบอุ่นของครอบครัว และการใช้ชีวิตอย่างมีสติอยู่เบื้องหลังนี่เอง


Time Machine

K.Bom กีตาร์นี่แหละ ที่เป็นจุดหักเหของชีิวิต และกลายเป็นความผูกพัน ตอนนี้มีอยู่ 80 ตัวแล้ว

K.Ble ของผมเป็นมรดกของคุณทวดที่เลี้ยงคุณแม่มา เป็นโต๊ะเครื่องแป้งกำปั่นหีบไม้ที่น่าจะอายุ 100 กว่าปีแล้ว ยังเสียใจอยู่จนทุกวันนี้ ว่าเชี่ยนหมากที่เป็นมรดกอีกชิ้นของคุณทวดหายไปไหนฟะเนี่ย (ฮา) แต่ก่อนไม่ชอบของเก่านะ พอได้ 2 ชิ้นนี้มาแล้ว รู้ึสึกผูกพัน มีคุณค่าทางจิตใจนะ

K.Boy น่าจะเป็นกางเกงขาสามส่วนในสไตล์ที่ใส่จนกลายเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว ก็น่าจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนนะ หลังๆ นี่กางเกงขาสามส่วนนี่เริ่มอินเทรนด์แล้วนะ (ฮา)





.........................................................................................................................................................................



Draw your dream
รวิชญ์ เทิดวงส์




การวาดภาพระบายสี
เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นให้ความคิดที่ยังเป็นนามธรรมในสมองของเรา กลายเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรมออกมา
able วันนี้มีโอกาสพูดคุยกับ
คุณปิ๊บ - รวิชญ์ เทิดวงส์

สุภาพบุรุษหนุ่มหล่อ มากความสามารถ ทั้้งนายแบบ นักแสดง อาจารย์ ที่วันนี้เขาจะมาเล่าถึงความหลงใหลที่มีต่อศิลปะการวา
ดภาพให้ฟัง



ศิลปะอย่างแรกที่รู้จัก


เริ่มตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยล่ะ เท่าที่จำได้คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมวาดภาพในหัวข้อวันลอยกระทง แล้วผมระบายให้น้ำเป็นสีแดง คุณครูมาดูก็ถามว่า ทำไมระบาย เป็นสีแดงล่ะ คือตอนนั้นไม่มีใครมาบอกว่าน้ำต้องเป็นสีฟ้า แต่ผมระบายไปตามที่ตัวเองนึำกภาพ พอมาเรียนที่ไทยวิจิตรศิลป์ก็สนุกที่ได้เจอโลกของตัวเอง จากตอนที่อยู่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนเคยเรียนได้เกรดเฉลี่ย 1 กลับกลายมาเป็นเกรด 3 กว่าตลอดนะ (ฮา)

แต่ก่อนชอบงาน Commercial Art เพราะตอนนั้นเรายังไม่รู้จัก Fine Art หรือศิลปะเพื่อศิลปะ พอได้เรียนที่นิวซีเเลนด์ แล้วก็ได้ไปรู้จัก Fine Art ที่นั่น ก็ประทับใจ พอดีช่วงนั้นเริ่มสนใจเรื่องศาสนา ปรัชญา คำสอนต่างๆ ก็เลยเริ่มอยากถ่ายทอดออกมาใหเ้ป็นผลงานศิลปะ

ผลงานที่ประทับใจ

ผมประทับใจงานแสดงผลงานครั้งแรกของผม เพราะเป็นการทำความฝันให้เป็นจริง แล้วก็เป็นการแสดงผลงานแบบเดี่ยวด้วย เพื่อนคนอื่นที่เคยมีความฝันเหมือนกันก็ผันตัวไปทำงานอย่างอื่นแล้ว แต่ผมสามารถทำมันได้สำเร็จ เป็นงานที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องใช้เทคนิคมากมายเหมือนศิลปินระดับโลก แต่็ก็สามารถขายผลงานได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ตอนหลังผมก็กล้าขึ้น เพราะคนจะเริ่มรู้จักในฐานะนัก
แสดงแล้ว

อย่างตัว Mascot ของอุโมงค์ดูปลาที่ Under Water World พัทยา ผมก็ไปวาดที่งานเลยนะ เป็นปลาฉลามชื่อ
"ฉลามปิ๊บ" ตอนแรกไม่ทราบว่าเขาจะเอามาใช้ถาวรด้วย ปรากฎว่าเขาเอามาใช้เป็นแบบถาวร ผมก็ภูมิใจนะ (ยิ้ม)


ค้นพบความเป็นตัวของตัวเอง

แต่ก่อนตอนยังไม่มีครอบครัวผมไฟแรงมาก แต่พอมีครอบครัวก็น้อยลงบ้าง แต่ผมก็ยังมีงานด้านศิลปะอยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นนิทรรศการงานศิลปะร่วมกับอีกหลายท่าน ทำให้ผมยังไม่ทิ้งศิลปะเสียทีเดียว อย่างเช่นการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ก็เช่นกัน ที่ทุกปีจะมีการรวบรวมผลงานของอาจารย์มาแสดง

กับลูกชายทุกวันนี้น้องพิพชอบวาดภาพมาก ตอนเด็กๆ ผมก็จะถ่าย
ทอด ให้เขา ด้วยการวาดภาพใ้ห้เขาทายตั้งแต่เขายังพูดไม่ได้ อย่างผมวาดรูปรองเท้าเขาก็จะชี้ที่เท้า (ยิ้ม) น้องพิพจะมีพัฒนาการเร็วมาก เขาชอบอะไรเขาก็จะวาดอันนั้นเลย อย่างตอนนี้เขาชอบเทียนมาก เขาก็จะวาดรูปเทียนจุดไฟ ผมก็จะลงวันเดือนปีแล้วเก็บไว้ ก็ยังคิดจะจัดนิทรรศการให้เขานะ (ยิ้ม)

ผลงานส่วนใหญ่ของผมเป็นงาน Drawing Painting ถ้าให้ผมวาดภาพเกี่ยวกับครอบครัวผมก็อาจจะวาดออกมาเป็นการ์ตูนแบบภาพล้อนะ คงเป็น Fine Art ที่จะเน้นโทนสีเขียว เพราะที่บ้านเป็นสวน แล้วครอบครัวผมก็ใกล้ชิดกับต้นไม้มาโดยตลอด

ผมอยากทำงานปั้นมากนะ เพราะเป็นอะไรที่ไม่เคยทำ แต่ผมคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ ชิ้นแรกที่จะปั้นผมก็อยากปั้นคนเเบบเน้นกล้ามเนื้อ อาจะไม่มีผิวหนังแบบ Anatomy แต่คงต้องหาบริเวณที่บ้านลองทำดูก่อน (ฮา)


ฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกรักงานศิลปะ

ผมเข้าใจพ่อแม่ที่อยากเน้นเรื่องอื่นๆ มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์ พวกวิชาที่สำคัญต่อการนำไปใช้ ในการบริหารหรือเป็นผู้นำในองค์กรต่างๆ ในอนาคต แต่ผมเชื่อว่า ศิลปะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ ดนตรี หรือแขนงอื่นๆ แม้แต่กีฬา จะช่วยเสริมให้เด็กมีสังคม มีกิจกรรม มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนอื่น แต่ต้องไม่ลืมวิชาหลักๆ ที่สำคัญใน 1 อาิทิตย์ที่เรียน

วิชาศิลปะเองก็มีส่วนช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เด็กๆ มีความมั่นใจและภูมิใจในตนเอง ทำให้เขามีเสน่ห์ (ฮา) ใครๆ ก็อยากให้ลูกเก่งทุกอย่าง แต่ถ้าต้องเลือกก็ต้องดูที่ความสนใจในตัวของเด็กด้วย อย่าเน้นไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป อย่างเรื่องเกมในอินเทอร์เน็ต ถ้ามากเกินพอดีก็จะทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ


ที่สำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ลูกอยู่ในสายตา และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกด้วย ครอบครัวจะได้อบอุ่น ที่สำคัญเด็กทุกคนมักทำตามคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว ถึงแม้เราจะไม่ได้สอนก็ตาม

ครอบครัวจึงเป็นอีกหนึ่งแรง ที่จะช่วยสานให้ความฝันกลายเป็นจริงได้ด้วยมือคุณ

Love your idea, love your career

ในเดือนที่มีเทศกาลแห่งความรักอันแสนหวานนี้ able ถือโอกาสพูดคุยกับนักธุรกิจสาวที่มีความ "หวาน" ผสมอยู่ในความ "กล้า" คุณยุ้ย-อรวรรณ อิงคสิทธิ์ เจ้าของร้าน
จิวเวลรีดีไซน์เก๋ ที่ฝีไม้ลายมือโด่งดังไปถึงต่างประเทศ
ภายใต้แบรนด์ "Olivia Diamonds"

ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับเธอ แถมยังรักษาสมดุลของชีวิตไว้ได้ น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ

ต้องเป็นศิลปินที่รู้จักกล้า

เป็นคนที่เป็นตัวของตัวเองสูง เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าเสี่ยง ถึงแม้จะออกมาดีหรือไม่ดี ก็กล้าที่จะลอง เหมือนเป็นศิลปินคนหนึ่ง ชอบศิลปะทุกอย่าง ไม่เฉพาะงานจิลเวลรีอย่างเดียว นอกจากนั้นยังเคยไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนสาขา Fashion Styling แต่สอนแค่ 1 - 2 เทอมเท่านั้น เพราะไม่มีเวลา ต้องดูแลร้าน เพราะเป็นทั้งจิวเวลรีดีไซน์เนอร์ และเป็นเจ้าของร้านด้วย ถ้าจ้างให้คนอื่นทำแทน เวลามีปัญหา เขาก็จะไม่รู้วิธีแก้ไข เพราะไม่เคยลงมือทำ และของที่ร้านก็ไม่ใช่ของที่ราคาถูก เลยต้องดูแลมากเป็นพิเศษ ลูกค้าที่มาซื้อ ก็ต้องการทราบหลายเรื่องที่พนักงานขายไม่สามารถตอบได้อย่างละเอียด ไม่เหมือนคนที่ออกแบบหรือรู้จริง

ตอนที่เป็นอาจารย์ พยายามให้นักศึกษาทุกคนใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ให้เต็มที่ เป็นการเรียนรู้นอกสถานที่ ส่วนใหญ่จะพาไปวาดรูป ถ่ายรูป เชิญวิทยากรมาเล่าสู่กันฟัง พาไปห้องสมุด สำเพ็ง(ฮา) รวมทั้งสถานบันเทิงด้วย (ฮา) บางคนคุณพ่อคุณแม่หวง ไม่เคยเที่ยวกลางคืนเลย
เราก็ได้พาเด็กไปดู

รู้จักแบ่งทั้งเวลาและเงินทอง

ตอนนี้ทำงานตลอด 7 วัน แต่ก็มีบางช่วงที่ไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ เป็นการไปหาเเรงบันดาลใจให้ Collection ใหม่ๆ ของทางร้านด้วย บางวันก็จะไปนวดหน้าบ้าง นวดตัวบ้าง แบ่งเวลาดูแล
ตัวเองด้วยการดื่ิมน้ำเยอะๆ ทานวิตามินเสริมบ้าง เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ จริงๆ เป็นคนที่ทานข้าวเยอะมากครั้งละ 2 จาน แต่ไม่อ้วน(ฮา)

นอกจากนั้น เป็นคนอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายมาก เวลาจะไปงานที่พิเศษๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะคิดถึงชุดที่จะสวมรองเท้า กระเป๋า คิดคอนเซ็ปต์การแต่งตัวไว้ล่วงหน้า แต่ยุ้ย
จะแต่งตัว ตามอารมณ์ในวันนั้นๆ เลย ตื่นมาบางวันอยากหวาน บางวันอยากเปรี้ยว ไม่เคยคิดชุดล่วงหน้า เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดูดีด้วย เพราะเวลาพบกับลูกค้าคงไม่มีใครต้องการคุยกับคนที่ดูโทรมๆ (ฮา) ส่วนเรื่องของสุขภาพใจ ถ้ามีเวลาก็จะพยายามไปทำบุญตามโรงพยาบาลหรือปล่อยปลาอยู่เป็นประจำ บางทีทำงานได้เงินมาก็อยากเเบ่งปันไปช่วยเหลือคนอื่นบ้าง

มีสไตล์ของผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

เป็นคนที่คลั่งไคล้งานคลาสสิกหรือศิลปะสไตล์ยุโรปมากก็จริง แต่จะพยายามดีไซน์ให้เหมาะกับลูกค้าหลายวัย อาจจะเป็นคุณแม่คุณลูกใส่คู่กันได้ พี่น้องก็ใส่กันได้ ที่ประเทศดูไบก็มีลูกค้าที่เป็นพระราชวงศ์หลายท่าน ลูกค้าที่เป็นดาราดังก็มี เช่น กงลี่ และจางซิยี่ เป็นลูกค้าประจำที่จะบินมาซื้อที่เมืองไทยประ่จำ

80 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าในร้านเป็นของที่ทำชิ้นเดียว อยากให้ลูกค้ารู้สึกว่าของที่ซื้อไปไม่ซ้ำกับของใคร และส่วนใหญ่จะจดทะเบียนลิขสิทธิ์ทางปัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว

ค้นหาความชอบของตัวเอง


การทำงานให้ประสบความสำเร็จ อย่างแรกคือ ต้องค้นหาความชอบของตัวเราเองให้ได้ ว่าเราชอบทำงานอะไร ชอบจริงๆ หรือไม่ และจะทุ่มเทให้ได้แค่ไหน อะไรที่เราชอบ เราก็จะตั้งใจทำ อยากทำเป็นพิเศษ ไม่ใช่ทำให้เสร็จๆ ไป บางคนก็ต้องใช้เวลานาน กว่าจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากให้ลองไปทำหลายๆ อย่าง เพื่อค้นหาความชอบและความถนัดของตัวเราเอง แล้วคนที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็ไม่ใช่คนที่เรียนเก่ง บางคนที่เก่งมากๆ ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องงาน

แม้เธอจะเปรียบเทียบตัวเองว่าเหมือน Black Diamond เพชร
สี ดำที่สะท้อนบุคลิกแข็งแกร่ง กล้าตัดสินใจ เข้มแข็งและอดทน แต่สีที่ Working Woman คนนี้โปรดปรานกลับเป็นสีชมพู นี่ คงเป็นอีกหนึ่งความหวานที่ซ่อนอยู่ในตัวนักธุรกิจหญิงไฟแรงเช่นเธอ ที่กล้าเลือกในสิ่งที่ชอบ และกล้าทำในส่งที่ใช่...ด้วยใจรัก


Time machine

เป็นแหวนเพชรซีกของเก่า เป็นรูปแบบโบราณที่ไม่ค่อยเน้นเหลี่ยม วงนี้คุณแม่ให้มาตั้งแต่เรียนจบ ถึงแม้จะหลวมไปบ้าง เนื่องจากเป็นคนนิ้วเรียวมาก แต่ก็ไม่ยอมตัดไซส์ให้เสียความงาม

อนุรัตน์ เทียมทัน
Wonder woman "ต้องงามที่ใจ"



บ่อยครั้งที่เราพบว่า ความสุขที่แท้จริง สามารถค้นพบได้จากสิ่งที่ธรรมดาที่สุด อย่างการดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจให้แข็งแรง

able ฉบับนี้ได้รับเกียรติจากท่านประธานกรรมการกลุ่มบริษัททิปโก้ คุณอนุรัตน์ เทียมทัน ผู้หญิงทำงานที่ยังคล่องแคล่ว ว่องไว และคงความสง่างามอยู่เสมอ มาแนะเคล็ดลับดูแลสุขภาพและวิธีการทำงาน ที่จะทำให้หนุ่มสาวยุคใหม่สุขภาพดีและมีความสุขในการทำงาน ดังนี้ค่ะ


เพิ่มความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองด้วย นำผักผลไม้


คุณอนุรัตน์ เล่าให้ฟังอย่างใจดีว่า "ปัจจุบัน น้ำผักผลไม้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีสุขภาพที่ดี เพราะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ที่ทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมและกลายเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญผักผลไม้ยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยให้แลดูอ่อนเยาว์อีกด้วย"

"ทางที่ดีเรา ควรรับประทานผักผลไม้ให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับคุณค่าที่เพียงพอ แต่เดี๋ยวนี้เราใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ น้ำผลไม้พร้อมดื่มจึงถือเป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีในการสกัดน้ำผลไม้ ทำให้คงคุณค่าสารอาหารไม่แตกต่างกับการดื่มน้ำผักผลไม้สดมากนัก

รู้จักให้อาหารกายอาหารใจให้พอดี

" หลีกเลี่ยงอาหารที่ถูกปากแต่ไม่ดีต่อสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายบ้าง โดยเลือกออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย เช่น โยคะหรือชี่กง ที่จะได้ประโยชน์หลายอย่างนอกเหนือไปจากสุขภาพที่ดีแล้ว ร่างกายยืดหยุ่นดีขึ้น เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น ยังได้ฝึกสติให้อยู่กับตัวตลอดเวลา เป็นกายออกกำลังกาย แต่สมอง กับจิตจะไำด้พักผ่อนไปด้วย"

" ส่วนสุขภาพใจก็ไม่ยาก ต้องพยายามไม่ให้เครียด เพราะความเครียดจะทำให้จิตใจไม่ปลอดโปร่ง และทำให้ประสิทธิภาพในการคิดลดน้อยลง ต้องมีสติ รู้เท่าทันอารมณ์ของเราเอง รู้ธรรมชาติของคนและงาน และทำตัวสอดคล้องกับสถานการณ์ ละอคติและมองโลกในแง่บวก ก็จะช่วยให้ความเครียดไม่สะสม"

บริหารงานด้วยความโปร่งใส เติบโตแบบยั่งยืน
ส่วนภูมิต้านทานในการทำงาน คุณอนุรัตน์แนะว่า "เราต้องบริหารให้เป็น มีบรรษัทภิบาลและนำปรัชญาเศรษฐิกิจพอเพียงมาใช้ เพื่อให้เิดินหน้าไปได้อย่างมีภูมิคุ้มกันที่ดี"

"การทำบรรษัทภิบาล นอกจากจะบริหารให้มีความโปร่งใสเกิดขึ้นแล้ว ต้องมีการสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น และต้องเติบโตแบบยั่งยืนและมั่นคงไปด้วย ถ้าทำงานอย่างเป็นระบบก็ไม่ยาก ที่นี่คณะกรรมการเข้มเเข็ง จนเคยได้รับรางวัล Board of the year ดีเลิศด้วย ประกอบกับมีทีมงานที่ดี จึงทำให้งานไม่หนักมาก"

Wonder women ตัวจริงต้องทำประโยชน์เื่พื่อคนหมู่มาก

"Wonder women ในสายตาคนทั่วไป มักจะหมายถึง คนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ัตัวเองทำ ซึ่งการที่เราทำงานเพื่อให้ตัวเอง เพื่อองค์กรของตัวเอง ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง ก็ไม่ได้คิดว่า Wonder เท่าไร แต่คนที่ทำอะไรเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนหมู่มาก น่าจะ Wonder จริงๆ"

"ในความคิดก็คิดว่าเป็น คุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ท่านมีหลักสูตรการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข ซึ่งเป็นการสอนวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น เป็นการสอนให้มีสติ ท่านสอนมานาน ซึ่งเป็นการหยั่งรากของความดีให้อยู่ในจิตใจของทุกคนที่เข้าอบรม ทำให้เข้าใจในเรื่องกุศล ทาน ศีล ภาวนา เมื่องมองจากการทำงานของท่าน จะกลายเะป็นเชื้อให้ได้นำไปพัฒนาต่อไป"

งามจริงตัองงามทั้งกาย วาจา ใจ


" ในความคิด งามอย่างมีคุณค่าคือ ต้องงามทั้งการ วาจา และใจ เช่น แต่งการให้เหมาะสมกับกาลเทศะ มีมารยาทสง่างาม มีวาจาไพเราะและจริงใจ ส่วนจิตใจมีคุณธรรม มีน้ำใจ"

ด้วยการเริ่มต้นจากครอบครัว ซึ่งเป็นจุดเล็กๆ ใกล้ตัว รวมทั้งการมีจิตใจที่ดี คือยินดีกับสิ่งที่ได้รับและอยากตอบแทน ซึ่งการตอบแทนครอบครัว ก็คือ การกตัญญูกเวทิตา ช่วยเหลือกิจการด้วยความเต็มใจ เมื่อหล่อหลอมตัวเองไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นความคุ้นเคยที่จะปฏิบัติได้เองโดยอัตโนมัติ สิ่งที่จะได้รับกลับคืนก็คือ ความงามในตัวเองที่มีอยู่อย่างยั่งยืน


ทั้งหมดนี้ถือเป็นเคล็ดลับเฉพาะตัวของคุณอนุรัตน์ ที่สามารถเป็นแบ
บอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นใหม่รู้จักคำว่า "งามอย่างมีคุณค่า" ได้เป็นอย่างดีค่ะ



Time Machine
ของ คุณอนุรัตน์ เป็นกระเป๋าใส่นามบัตรของคุณประสิทธิ์ ทรัพย์สาคร "แต่เดิมกระเป๋าใบนี้ คุณพ่อของดิฉันหรือท่านประทาน บริษัทคนก่อนเคยใช้ เมื่อท่านเสียชีวิต ดิฉันนำมาใช้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงท่าน เอาไว้เตือนใจถึงพระคุณของท่าน และทำตามแบบอย่างความเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อในการฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิตของท่าน"
ดารุณี กฤตบุญญาลัย
ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ธรรมดา


เมื่อคุณได้สัมผัสตัวจริงของเธอ
คุณจะรู้ว่า เธอคนนี้
มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด



Meaning in "Darunee"

ตัวตนของพี่ที่ทุกคนมองเห็นได้ คือ อารมณ์ดี มีอารมณ์สุนทรี แต่งตัวมีคอนเซ็ปต์ แค่บอกมาว่าจะให้ทำอะไร พี่มีอุปกรณ์พร้อมเสมอสำหรับทุกงาน แต่คนส่วนใหญ่จะหาว่าโอเวอร์ สมัยก่อนแต่ละงานจะมีรางวัล Best Dress พี่ก็จะเหมารางวัลทุกงานเหมือนกัน (ฮา) หลายคนก็หมั่นไส้ว่า เราแต่งตัวเพื่อมาเอาถ้วยรางวัล



คติพจน์ประจำใจของพี่ คือ ต้องทำในสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรมและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถ้าไม่ขัดกับ 3 ข้อนี้แล้ว อยากทำอะไร ทำได้ทุกอย่าง อีกสิ่งหนึ่้งคือ ความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นต่อตัวเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ


Hiso vs. Celeb


พี่คิดบวกตลอด เพราะฉะนั้นคำว่า "ไฮโซ" น่าจะหมายถึงคนที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงเชื้อสายไทย ถามพี่ว่าเป็นไฮโซไหม-ไม่เป็น แต่ถ้าถามว่าพี่อยู่ใน "ไฮโซไซตี้" ไหม-ใช่

พี่ว่าไฮโซไซตี้วันนี้อยู่แค่ในแวดวงการค้าที่มีมูลค่าเยอะๆ หน่อยก็ถือว่าอยู่ในไฮโซไซตี้แล้ว คนในแวดวงสังคมชั้นสูงในความคิดของพี่น่าจะมีฐานันดร เป็นคนที่สร้างคุณค่าให้ตนเองจนได้รับการยกย่อง เป็นคนที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศ สังคม หรือมวลมนุษย์ จริงๆ คนที่จะก้าวมาเป็นไฮโซน่าจะเป็นคนลักษณะนี้ แต่ปัจจุบันไม่ใช่ แค่มีเงินก็เรียกว่าไฮโซแล้ว

พี่คิดว่า "เซเลบ" ต่างจากไฮโซตรงน่าจะเป็นคนที่ไม่ใช่ดารา แต่มีความโดดเด่นขึ้นมาเพราะความสามารถ การศึกษา ฐานะ ที่ทำให้โดดเด่นด้วยตัวเองจนได้รับการยอมรับจนเกิดเป็นกระแส มีเรตติ้งในตัวเองที่จะทำให้เป็นข่าวได้ ซึ่งคนเหล่านี้ก็น่าจะมีคุณภาพในการดูแลตัวเอง การทำงาน มีมนุษยสัมพันธ์ และทำประโยชน์ให้สังคมด้วย




Party in nowadays

ปาร์ตี้ทุกวันนี้มีรายละเอียดเยอะมากกว่าสมัยก่อน ต้องดูว่าคอนเซ้ปต์คืออะไร หากเป็นปาร์ตี้การกุศล ต้องนำเสนอในรูปแบบที่น่าประทับใจที่สุด มีรอยยิ้ม หรือถ้าจะมีน้ำตากลอ ก็ควรเป็นน้ำตาแห่งความสุขมากกว่าน้ำตาแห่งความรันทด อย่างงานเพื่อคนพิการ ควรให้กำลังใจว่าถ้าใจไม่พิการเสียอย่าง ทุกอย่างไม่ใช่ปมด้อย หรือเรื่องที่น่าสงสาร ต้องทำให้ตัวเรามีคุณค่ามีความสามารถ

ปาร์ตี้ที่ประทับใจมีหลายงาน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นของ คุณสมศักดิ์ ชลาชล เขาจัดงานแต่ละครั้ง อลังการมาก (ฮา) มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ได้รับเชิญให้ร้องเพลงโชว์งานเปิดสาขาใหม่ ต้องยืนบนเครนสูง 8 เมตรริมถนน งานนี้มี คุณไก่-วรายุทธ มิลินธจินดา มาเป็นคนจัดอีเว้นท์นี้ให้


คิดอย่างไรกับฉายาทั้งหลายที่ได้รับ

พี่เป็นกุลสตรีที่เปรี้ยวซ่านะ (ฮา) แต่เปรี้ยวซ่าในเรื่องการแต่งตัว ไม่เคยทำอะไรเสียหาย ไม่เคยทำิสิ่งที่ผิดศีลธรรม ตั้งแต่เด็กจนโตมีครอบครัว ของอย่างนี้ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า แต่อยู่ที่พฤิตกรรม

พี่เป็นคนที่เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ ไม่เที่ยวกลางคืน ยกเว้นงานปาร์ตี้นะ แต่ไม่ได้แอนตี้ เพราะถือว่าเป็นการเข้าสังคมเท่านั้นเอง ซึ่งอาจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่เราเปลี่ยนแปลงคนอื่นไม่ได้ คนอื่นก็มาเปลี่ยนแปลงตัวเราไม่ได้เหมือนกัน คนเราจะเปลี่ยนตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเต็มใจและพอใจที่จะเปลี่ยนแปลงเอง อยู่ที่ทัศนคตินะ
ถ้าถามว่าพี่ต้องการดังไหม อายุขนาดนี้ต้องการความดังไปทำไม ความสุขหรือความทุกข์ในชีวิตมีแค่เส้นบางๆ กั้นอยู่ เมื่อมีความทุกข์ แล้วเรามัวแต่หมกมุ่นก็จะทุกข์หนักเป็นสองเท่า แต่ถ้าทุกข์แล้วเรารู้จักหาความสุขมาชดเชยบ้าก็จะทำให้ความทุกข์เบาบางลง


ร่วมงานปาร์ี้ตี้อย่างไรให้พอดี

ในทุกๆ ปาร์ตี้เราควรจะเสพความบันเทิง อาหาร และบรรยากาศให้พอเหมาะพอดี จะดื่มก็ควรดื่มแต่พอดี ความพอดีอยู่ที่วิจารณณาณ อยู่ที่การอบรมสั่งสอนจากครอบครัว อยู่ที่ครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนให้การศึกษา เรื่องความเป็นจริงในสังคมที่นอกเหนือจากตำรา
สิ่งที่ผุ้ใหญ่ห้ามจะเป็น สิ่งแรกที่เด็กทำทันที อย่าห้าม แต่ให้สอนด้วยเหตุผลในทุกเรื่อง ควรจะสอนให้เห็นโลกสองด้าน ไม่ให้มองโลกแต่ในด้านที่สวยงามอย่างเดียว
ได้ฟังแล้วทำใหู้รู้จักเธอมากขึ้นอีกนิด รวมถึงแง่คิดดีๆ ในการใช้ชีวิตว่า "จงรู้จักความพอดี และอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง"


จากวันนั้น ....ถึงวันนี้ของ
"ป๊อบ-อารียา ศิริโสดา"

จากอดีต นางสาวไทย มาจนถึงวันนี้
ที่หลายคนรู้จักตัวตนผ่านผลงานของเธอ
ในฐานะ "ผู้สังเกตและผู้เสพความงาม"



ความสุขในวันนี้ของ "ป๊อบ อารียา"

" ตอนนี้เราตื่นมาทุกวันด้วยความรู้สึกดี รู้สึกว่าตัวเองโชคดี มีบ้านเป็นของตัวเอง ส่งเงินให้คุณพ่อคุณแม่ได้ ได้ทำงานที่ชอบและได้เสพความงามหลายอย่างในโลก มีอิสระ ไม่มีหนึ้สิน เราเองมีโรคประจำตัวเยอะ ก็ต้องดูแลสุขภาพอยู่เสมอ ทั้งภูมแพ้และือื่นๆ อีกหลายอาการ จนพบว่าการเล่นโยคะเป็นวิธีการบำบัดอาการเหล่านี้ได้ดีที่สุด ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เราว่าตอนนี้แข็งแรงกว่าตอนอายุ 20 กว่าเสียอีก และยังแฮปปี้มากกับชีวิตช่วงนี้ ทุกอย่างลงตัวขึ้น มองเวลามีค่ามากขึ้น"

" การมีอิสระสูง ต้องมีวินัยและพลังในการทำงานด้วย เราทำงานมา 5 ปี ไม่ใช่บริษัทใหญ่ เป็นผู้สังเกต เป็นผู้เสพความงาม พยายามเข้าใจตัวเองว่า ชอบเสพความงามของมนุษย์มีหลายรูปแบบ ถ้ามองงานที่ทำจะเห็นว่าเราสะท้อนความงามของมนุษย์ ความดี ความรัก ความเมตตา ความอบอุ่น ความเอื้ออาทร และความงามที่มีอยู่ในเนื้อแท้ของทุกสิ่ง"


การค้นหาตัวตนจริงๆ ของเธอ

" เราคิดว่าเราเป็นเหมือนน้ำ มีรูปร่างอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับภาชนะที่บรรจุ แต่แก่นของมันคืออะไร คือความใสที่มีนยังมีอยู่ต่างหาก บางครั้งเรากังวัลหรือกลัว น้ำก็จะขุ่น พอเราออกต่างจังหวัด ได้เจอคนที่มีจิตใจงดงาม ทำให้เราสบายใจ น้ำในใจก็จะใส เราเองถ้ามีโอกาสก็จะไปนั่งวิปัสสนา เมื่อกลับมาก็จะรู้สึกว่าน้ำที่อยู่ข้างในใสขึ้น ก็จะสอนตัวเองให้รักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจตลอดเวลา ต้องมีความเงียบและความสงบ เพื่อให้เกิดปัญญา เราอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี"

" เป็นคนชอบสังเกตคน เคยเป็นนักเขียนมาก่อน ตอนเเรกมาเมืองไทยเพื่อเที่ยว ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นนางงาม ตอนไปร่วมกิจกรรมพาเด็กๆ ชาวดอยไปเที่ยวบางแสน ได้เห็นรอยยิ้ม แววตาที่แสนบริสุทธิ์ มองเห็นความสุขตรงนั้น ก็อยากระบายให้คนอื่นเห็น อยากทำเป็นหนัง สุดท้ายก็ออกมาเป็นผลงานแบบ Documentary เรื่องแรก คือ เด็กโต๋ ไปฉาย 2 วัน ให้คนมาดูฟรีและขอรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือเด็กที่บ้านแม่โต๋ ได้เงินบริจาคเฉลี่ยวันละ 50,000 บาท เก็บเงินได้เฉพาะเงินบริจาคอย่างเดียวล้านกว่าบาท เลยทำเป็นกองทุนส่งนักเรียนที่บ้านแม่โต๋ ทำขึ้นมาด้วยใจจนกลายเป็นผูกพัน ไม่ใช่การตลาดหรือสร้างภาพพจน์นางงามที่ต้องรักเด็ก (ฮา)

"เด็กที่ ไม่เคยลำบากก็จะไม่รู้จักความแข็งแกร่ง รู้สึกขอบคุณที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เลี้ยงเรามาอย่างตามใจมากเกินไป มันทำให้เราไม่กลัวความลำบาก ไม่กลัวความจน ภาพในช่วงที่เป็นนางสาวไทย คนทั่วประเทศมักคิดว่าเราเป็นคนเรียบร้อย มีกึ๋น แต่จริงๆ เป็นคนซนนะ คือคนไทยอาจมองว่านางสาวไทยทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ"


วงการประกวดและวงการบันเทิงเป็นอย่างที่คนอื่นเห็นหรือไม่

" การอยู่ในวงการทำให้เรามีภูมิต้านทานมากขึ้น รู้ว่าต้องพูด ต้องวางตัวอย่างไร ระวังตัวเองมากขึ้น แต่ไม่เก็บเอาอะไรมาคิด ถ้าเริ่มคิดไปในทางไม่ดี ก็ต้องเตือนตัวเอง พยายามนั่งสมาธิ เล่นโยคะ ให้เวลากับครอบครัว แบ่งเวลาให้เป็น พักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้เต็มที่ กันให้เต็มที่ แต่ต้องเป็นอย่างพอเพียงนะ"

"การประกวดให้อะไรเราเยอะ ทั้งชื่อเสียง การเงิน ความมั่นคง คนรู้จักเรามากขึ้น ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องความตายมากขึ้น หลังจากคุณย่าเสียทำให้เรารู้สึกว่าการตายนี่ใกล้ตัวมาก เรื่องภาพพจน์หรือชื่อเสียงเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมาก และจริงๆ ในชีวิตคนอาจต้องทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ต่อไปอาจต้องเป็นแม่หรืออะไรที่น่าภูมิใจกว่านี้"

"ทำอะไรถ้าทำจากใจมันจะออกมาดีหมดแหละ คนสมัยนี้น้อยมากที่จะทำอะไรด้วยใจจริงๆ ส่วนใหญ่จะทำตามหน้าที่"

ข้อคิดสั้นๆ ง่ายๆ แต่คมคายที่เธอฝากไว้ให้พวกเรากลับไปลองคิดกันดู ว่าทุกวันนี้เราได้มีโอกาสทำ "สิ่งที่ออกมาจากใจ" บ้างหรือยัง



Time machine ของคุณป๊อบ
กับเรื่องราวของไม้ตีเทนนิส

ฝันว่าอยากซื้อไม้เทนนิสที่ทำจากไม้ จำได้รา 99 เหรียญ ไปหาเงินพิเศษที่ร้านอาหาร และต่อรองกับคุณแม่ว่าถ้าได้เกรด A ขอเงินเพิ่มจากเดิมตัวละ 5 เหรียญเป็น 10 เหรียญได้ไหม และเก็บเงินสะสมค่าอาหารที่ได้ 5 เหรียญต่อสัปดาห์ แล้วห่อข้าวจากบ้านไปกิน ตอนนั้นก็เอาบะหมี่สำเร็จรูปไปขายเพื่อน ห่อละ 5 บาท เราขาย ห่อละ 20 บาท คิดหาวิธีเยอะมาก วันเกิดก็ไม่เอาของขวัญ ขอเป็นเงินจากพวกญาติๆ แทน พอได้มาก็รักไม้อันนี้มาก ครั้งหนึ่งล้ม ยังยกไม้สูงเพราะกลัวไม้โดนพื้นเป็นรอย คางเลยไปกระแทกกับพื้นแทน การไม่ได้ของอะไรมาง่ายๆ ทำให้เราเห็นคุณค่าของที่ได้มา"